The Snow Girl
Anusorn Tipayanon
ผมพบหญิงสาวคนนั้นที่ชานชาลา เช้าวันนั้นหิมะโปรยปรายลงมาแต่เช้า ท้องฟ้าเป็นสีเทาแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวก่อนจะกลับคืนเป็นสีเทาอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงความหนาวเย็น มันหนาวเย็นจนจับใจ หนาวเย็นจนแม้เพียงแค่คิดจะออกเดินทางคุณก็อาจล้มเลิกความตั้งใจได้
แต่ผมพบเธอที่นั่น ในขณะที่ผมเฝ้ารอรถไฟที่มุ่งหน้าสู่เกียวโต เธอยืนสงบนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ภายใต้เสื้อคลุมสีดำหนาหนักเกล็ดสีขาวของหิมะแต่งแต้มเสื้อคลุมของเธอเป็นจุดเล็กๆราวกับงานออกแบบชิ้นเลิศ นอกจากบนเสื้อแล้ว เกล็ดหิมะยังจับอยู่ตามไรผมของเธอด้วย แต่ดูเธอไม่แยแสสิ่งนั้นเลย เธอยังคงยืนสงบนิ่ง รถไฟแล่นเข้าเทียบชานชาลาขบวนแล้วขบวนเล่าผู้คนเดินออกจากขบวนรถไฟคนแล้วคนเล่า หากแต่เธอไม่สนใจไยดีสิ่งเหล่านั้นเลย มือขวาของเธอถือกล่องอาหารกลางวันสายตาของเธอจ้องมองไปเบื้องหน้า เมื่อได้พบเห็นเธอ ผมตัดสินใจยกเลิกการโดยสารขบวนรถไฟที่ตั้งใจและเฝ้ามองดูเธอแทน รถไฟขบวนใดหนอที่เธอจะโดยสาร สถานที่ใดหนอที่เธอปรารถนาจะไป นั่นคือความคิดคำนึงของผม นั่นคือการเฝ้ารอคำตอบของผม หากแต่เธอกลับไม่โดยสารรถไฟขบวนใดเลย เธอยืนนิ่งอยู่ที่ชานชาลาราวหนึ่งชั่วโมง ประมาณนั้น ก่อนจะหันหลังกลับ เดินลงบันไดชานชาลาและหายลับจากไปท่ามกลางพายุหิมะสีขาวโพลน
หลังจากวันนั้น ผมได้พบเธอทุกวัน แม้พายุหิมะจะหมดหน้าที่ของมันแล้วคงเหลือเพียงแต่สายหิมะเบาบางในยามนี้ แต่เธอผู้นั้นยังคงมาที่ชานชาลาแห่งนี้ทุกวัน ในมือถือกล่องอาหารกลางวัน สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้า จุดหมายของเธอดูเลื่อนลอยไม่มีรถไฟขบวนใดที่ดึงดูดเธอไปสู่โลกของการโดยสาร หนึ่งชั่วโมง ประมาณนั้น ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ชานชาลาก่อนจะเดินลงบันไดแล้วหายลับไปจากสายตาของผม
หลังการจากไปของเธอ ผมจะโดยสารรถไฟเที่ยวถัดมาทันที ในความคิดคำนึงของผมมีแต่ความสงสัยใคร่รู้ มีสิ่งใดในกล่องอาหารกลางวันนั้น มันใช่อาหารหรือมันเป็นสิ่งอื่น มีอะไรในเป้าหมายสายตาของเธอ ภาพที่ทุกคนมองเห็นหรือว่าเป็นภาพอื่นจากที่นั่งในรถไฟนั่นเองที่ผมจะขบคิดถึงปริศนาเหล่านั้น ด้วยว่าตลอดเวลาที่เธอยืนนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ผมไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นใดได้เลยนอกจากความงามของเธอ หากเราจะคิดถึงผู้หญิงสักคนที่ให้ความงามอันอบอุ่น ไม่เสแสร้ง ไม่ดัดแปลง คงเป็นเธอนั่นเอง ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ เธอเป็นดังดวงอาทิตย์ที่เรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมัน เป็นความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่มีจุดเด่นที่ความงาม เป็นความอบอุ่นที่หลงเหลือเพียงหนึ่งเดียวในเมืองอันหนาวเหน็บแห่งนี้ การมาถึงชานชาลาของเธอให้ความรู้สึกดังการขึ้นสู่ท้องฟ้าของดวงอาทิตย์ การจากไปของเธอให้ความรู้สึกดังการจบสิ้นของวัน เป็นเรื่องปกติสามัญเช่นนั้น เพียงแต่วันเวลาในสถานที่แห่งนั้น ในชานชาลาแห่งนั้นมีระยะเวลาดำเนินไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เป็นวันเวลาที่แสนสั้น เป็นวันเวลาที่แสนสั้นแต่สำหรับผมแล้วสวยงามสุดบรรยาย
หิมะนั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด เมื่อแรกที่มันตกลงมานั้น เราจะรู้สึกได้ถึงความสวยงาม แต่หลังจากนั้นเราจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของมัน ความเย็นเฉียบของมันที่มีต่อผิวหนังของเราจะทำให้เรารู้สึกปวดร้าว ความหนาวเหน็บของมันที่มีต่อจมูกจะทำให้เราเจ็บปวด เราอยากยืนอย่างสงบนิ่งๆ ทำตัวสดชื่นสูดดมกลิ่นของหิมะ แต่เราทำเช่นนั้นไม่ได้ จมูกของเราเจ็บแสบเกินกว่าจะได้กลิ่น ผิวหนังของเราเย็นชาเกินกว่าจะเพลิดเพลิน สิ่งที่ปรากฏจากช่องจมูกของเราไม่ใช่อากาศอีกต่อไปหากแต่เป็นเลือดสีแดงสด สิ่งที่ปรากฏจากผิวหนังของเราไม่ใช่เกล็ดหิมะอีกต่อไปหากแต่เป็นรอยช้ำแดง
และหากหิมะเป็นของแปลก เมืองหิมะย่อมเป็นของแปลกประหลาดกว่านั้น ผมถูกส่งมาที่เมืองหิมะแห่งนี้เมื่อหนึ่งปีก่อน ในวันแรกของการประกาศรับสมัครพนักงานเพื่อไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะมีเมืองหิมะเช่นนี้ ประเทศญี่ปุ่นสำหรับผมคือประเทศที่มากมายด้วยยอดมนุษย์และสัตว์ประหลาดจากความทรงจำในวัยเด็ก เป็นประเทศที่มากมายด้วยดาราเอวีจากความประทับใจในวัยหนุ่ม แต่ไม่ใช่หิมะเป็นแน่ ผมไม่เคยมีความคิดเรื่องเมืองหิมะอยู่เลยในวันที่ส่งชื่อตัวเองเข้าสอบวันนั้น
การสอบผ่านไปด้วยความสำเร็จ เมืองที่ผมต้องเดินทางไปถึงคือเซนได ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย ทำไมไม่เป็นโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า ทำไมไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสาวน้อยหน้าแฉล้มแช่มช้อย ทำไมไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม ทำไม่ไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยปราสาทโบราณโอ่โถง หากแต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นและสีขาวโพลนของหิมะ เซนไดต้อนรับผมนับแต่แรกถึง เมื่อผมเดินออกจากสนามบิน เกล็ดหิมะลอยคลุ้งในอากาศราวปุยนุ่น ผมยืนรอรถแท๊กซี่ที่ขาดช่วงอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ใบหูของผมเริ่มเย็นลงทีละน้อยจนชา และหากมันจะถูกใครปลิดทิ้งไปในตอนนั้นผมคงไม่รู้สึกรู้สมใดๆ จมูกของผมแสบและหายใจขัดข้อง การไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมทำให้ผมอยู่ในเสื้อเชิ๊ตและสูทเบาบางเพียงตัวเดียว ความหนาวเย็นเกาะกินไปถึงกระดูกในความรู้สึก ผมพยายามปัดเกล็ดหิมะที่เกาะใบหน้าในช่วงแรกอย่างพัลวันก่อนจะยอมแพ้และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างยอมจำนน ในที่สุด รถแท๊กซี่ก็มาถึง ผมยัดตัวเองลงไปบนเบาะหลัง ยื่นนามบัตรที่กำไว้ในมืออันสั่นเทาให้ชายคนขับผู้อยู่ในถุงมือสีขาวสะอาดตา เขาเหลือบตามองมันเพียงแว่บเดียวก่อนจะพยักหน้าแล้วออกรถโดยไม่มีคำพูดใดๆ
ในเมืองหิมะเช่นนั้นช่างเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ในช่วงเช้าที่ยังพอมีแสงแดด ผมจะเดินทางไปทำงาน ก่อนจะกลับสู่ที่พักเมื่อความหนาวเย็นเข้าครอบคลุมในยามค่ำ หลังจากนั้นผมจะนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างเฝ้ามองหิมะหล่นลงมาโปรยปราย ไม่มีความตื่นเต้นใดๆ ไม่มีความเพลิดเพลินใดๆ มันเป็นเมืองเงียบสีขาวโพลน สงบเย็น ไร้สีสันอื่น ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น จนถึงวันที่ผมได้พบกับเธอเมื่อต้องเดินทางไปทำธุระที่โตเกียว การปรากฏตัวของหญิงสาวพร้อมกล่องข้าวในมือเป็นดังแสงแดดอันอบอุ่น อ่อนหวาน ละมุน ละไมและทำให้ผมรู้สึกว่าความหนาวเย็นที่ดำรงมาเนิ่นนานนั้นได้ปราศนาการไป
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไปถึงสถานีแห่งนั้นทุกเช้าแทนการมุ่งตรงไปยังสำนักงาน แม้ในวันที่ผมไม่ต้องเดินทาง ผมก็จะไปยังสถานีนั้น ผมจะยืนรออยู่ที่ชานชาลา รอการปรากฏตัวของหญิงสาว รอการร่วงหล่นของหิมะ รอการประทับของหิมะบนเสื้อผ้าของเธอ ความหนาวเย็นไม่ใช่สิ่งที่ผมหวาดกลัวอีกต่อไป การไม่ปรากฏตัวของเธอต่างหากที่เป็นสิ่งที่ผมหวาดหวั่น ห้านาที สิบนาที สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือบ่อยแสนบ่อย ลมหายใจของผมหยุดชะงักเป็นช่วง จนเมื่อเธอปรากฏตัวแล้วนั้นเองที่อากัปอาการของผมจะกลับสู่ความเป็นปกติ หญิงสาวในเสื้อคลุมหนาหนัก หญิงสาวผู้มาพร้อมกล่องอาหาร หญิงสาวที่มาพร้อมความสงบเงียบ หญิงสาวที่ผมรอคอย
ถึงแม้ผมจะมีกำหนดเวลาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเพียงหนึ่งปี แต่การละเลยไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นผลผลิตของสังคมญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น ศิลปกรรม วรรณกรรม หรือสิ่งต่างๆดูจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจ ผมเริ่มต้นตระเวณไปตามที่แสดงงานศิลปะในเมืองทีละแห่ง เริ่มต้นซื้อหนังสืออันลือชื่อของนักเขียนญี่ปุ่นทีละคน ผมเริ่มเรียนรู้การชื่นชมภาพพิมพ์ของโฮกุไซ ตื่นตะลึงกับงานแกะไม้ของยานากิ หลงใหลงานเขียนของ คาวาบาตะ โดยเฉพาะเรื่องเมืองหิมะที่เขาเขียนได้จับใจ ตื่นเต้นกับจินตนาการทางเพศของ ทานิซากิ โดยเฉพาะในเรื่องกุญแจ ประทับใจกับความรักชาติของ มิชิม่า โดยเฉพาะในเรื่องวิหารทอง ทุกอาทิตย์ผมไปที่ห้องแสดงภาพและร้านหนังสือใหญ่ประจำเมือง ซื้อภาพพิมพ์และหนังสือของนักเขียนเหล่านั้นมาทีละแผ่น ทีละเล่ม ห้องของผมเริ่มจัดสรรพื้นที่ให้กับสิ่งของด้านอารยธรรม มันทำให้ทุกอย่างอบอุ่นขึ้น อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม
ในสิ่งของจำนวนมากเหล่านั้นมีสองสิ่งที่ผมให้ค่าของมันเหนือสิ่งใดอื่น สิ่งแรกคือภาพพิมพ์ที่มีชื่อว่าการเดินในหิมะ หรือ A Walk in the Snowของคาวาเสะ ฮาสุอิ มันเป็นภาพที่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่เรื่องราวในภาพดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง ในภาพเราจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แบกลูกน้อยไว้ด้านหลัง เดินฝ่าหิมะที่โปรยปรายด้วยร่มที่ทำจากไม้อันเบาบาง มีสุนัขเดินตามหลังอย่างเงียบๆ ผมมองรูปภาพนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเพลิดเพลิน เป็นความเพลิดเพลินจากจินตนาการว่าหญิงสาวในรูปนั้นกำลังเดินทางไปไหน กลับหรือไปจากเคหาของเธอ เด็กทารกด้านหลังอายุกี่ขวบกัน เธอรู้สึกหนาวเย็นหรืออบอุ่น สุนัขติดตามเธอมาหรือเพียงแต่มาพบเธอโดยบังเอิญและเพราะเหตุใดมันจึงติดตามเธอไปโดยไม่หวั่นไหวต่อความหนาวเย็นใดๆ เรื่องราวปลายเปิดจากภาพพิมพ์ภาพนี้หล่อเลี้ยง ดูดซับและปะทุออกซึ่งจินตนาการของผมครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับตาน้ำที่ผุดตัวขึ้นโผล่พ้นผืนดินอย่างชั่วกัลปาวสาน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญกับมันครั้งแล้วครั้งเล่าคือเรื่องสั้นชื่อ-การทักทาย-หรือ The Greeting ของ อาคุตะงาว่า ริวโนสุเกะ ผู้คนจำนวนมากรู้จักอาคุตะงาว่าจากเรื่องสั้นอันโด่งดังของเขานาม-ขัปปะ หรือไม่ก็เรื่องสั้นชื่อ-ในป่าโกงกาง-ที่กลายเป็นภาพยนตร์นามราโชมอน ทั้งที่อาคุตะงาว่าเขียนเรื่องสั้นจำนวนมากมายหลายเรื่องด้วยกัน แต่เรื่องสั้นเหล่านั้นล้วนถูกบดบังด้วยขับปะ ทั้งที่อาคุตะงาว่าเขียนเรื่องสั้นที่มีการพรรณาความอันงดงามมากมายแต่เรื่องสั้นเหล่านั้นล้วนถูกบดบังด้วยความยอกย้อนของในป่าโกงกาง ในแง่หนึ่งมันเป็นสิ่งดี แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง มันเหมือนดังการที่เราเลือกจดจำดวงจันทร์ในยามค่ำว่างดงามเพียงใดแต่หลงลืมดวงดารามากมายบนผืนฟ้านั่น
เรื่องสั้นเรื่องการทักทายนั้นเริ่มต้นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่พบหญิงสาวที่เขาพึงใจ ณ ชานชาลารถไฟแห่งหนึ่ง เขาพบเธอทุกวัน หลงใหลเธอทุกวัน ขบคิดถึงการทักทายเธอทุกวัน หากแต่เขากลับไม่ลงมือกระทำสิ่งใดเลย เขาหมกมุ่นกับความปรารถนาที่จะทักทายเธอมากกว่าตัวตนที่แท้ของหญิงสาวผู้นั้น เขาหมกมุ่นกับถ้อยคำที่อยากเอ่ยให้เธอฟังมากกว่าการปล่อยถ้อยคำนั้นออกไป กาลเวลาผ่านไปท่ามกลางความน่าอึดอัดมหาศาลในเรื่องสั้นเรื่องนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยการตัดสินใจว่าถึงเวลาแห่งการทักทายของเขาแล้ว หากแต่ในช่วงเวลานั้นเอง หญิงสาวคนดังกล่าวกลับเดินผ่านเขาไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เขาทักทายเธอท่ามกลางความว่างเปล่าและท่ามกลางเสียงรถไฟที่กำลังเคลื่อนออกจากชานชาลา
ผมเข้าใจเหตุผลที่ผมหลงใหลภาพวาดชื่อการเดินในหิมะของคาวาเสะ ฮาสุอิ ความหนาวเหน็บ อ้างว้างในภาพนั้นคงดึงดูดผมเป็นของแน่ แต่อะไรเล่าที่ดึงดูดใจผมในเรื่องสั้นชื่อการทักทายนี้ ความลังเลของตัวละครเอกหรือ หรือนี่ผมกำลังลังเลที่จะทักทายหญิงสาวผู้นั้นหรือนี่ผมกำลังหลงใหลในตัวเธอแทน เป็นเกล็ดหิมะบนเสื้อผ้าและไรผม เป็นกล่องอาหารในมือ หรือเป็นความสงบเงียบไม่สนใจโลกของเธอ ดูเหมือนจะมีคำตอบนับร้อยนับพันนับหมื่นเมื่อผมพยายามผูกสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน มนุษย์เราอาจพกร่ม หนังสือ หรือเครื่องเสียงส่วนตัวมายืนสงบนิ่งเพื่อรอรถไฟ แต่กล่องอาหารนั้นเล่า หากเธอไม่โดยสารรถไฟ เธอมีความจำเป็นอันใดที่ต้องนำอาหารส่วนตัวมาด้วย มีอาหารจำหน่ายในรถไฟสายยาวแม้ว่ามันจะไม่เลิศเลอนักแต่ก็ไม่เลวร้ายเลย การจากไปของเธอในทุกครั้งพร้อมกับกล่องอาหารคือปริศนาในใจของผมใช่ไหม มันคือสิ่งที่ผมคั่งค้างในใจหรือ
ผมเริ่มขบคิดว่าหากผมต้องเป็นผู้เขียนเรื่องสั้นเรื่องการทักทายแทนอาคุตะงาว่า ผมจะเริ่มต้นมันเช่นไร ผมคงเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงวันที่หิมะตกหนัก สายหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า หญิงสาวผู้หนึ่งเฝ้ารอขบวนรถไฟอยู่ที่ชานชาลา แต่เมื่อขบวนรถไฟมาถึง ขบวนแล้วขบวนเล่า ขบวนแล้วขบวนเล่า เธอกลับไม่โดยสารรถไฟขบวนใดเลย ที่ชานชาลานั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเฝ้ามองเธอด้วยอาการสงบนิ่ง หากแต่เขากลับไม่กระทำสิ่งใดเลย ไม่มีบทสนทนา ไม่มีการทักทาย มีแต่เพียงความเงียบและการเฝ้ามอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เรื่องสั้นเรื่องนี้ควรมีชื่อว่าความหลงใหลหรือความประทับใจมากกว่าการทักทาย แค่เพียงการปรากฏตัวของเธอก็เป็นที่สุดแห่งความพึงใจของเขา แค่เพียงดำรงอยู่ตรงนั้นก็เป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของเขา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสั้นที่ไม่ควรมีบทสนทนา ดังนั้นมันจึงควรเป็นเรื่องสั้นที่มีเพียงแต่การบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขา เป็นเรื่องสั้นที่บรรยายถึงสิ่งที่ท่วมท้นและเพียงพอของห้วงคำนึง
ผมคิดถึงวิธีการเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้บ่อยครั้งเสมอขณะที่เฝ้ารอหญิงสาวผู้นั้นอยู่ที่ชานชาลา อันที่จริงแล้วผมควรซื้อปากกาสักแท่ง สมุดเล่มเล็กสักเล่มและใช้เวลาที่เฝ้ารอนั้นเขียนเรื่องสั้นที่ว่า หากแต่ผมก็กลับไม่ทำเช่นนั้น ผมไม่ปรารถนาลายลักษณ์อักษรที่พรรณาถึงเรื่องราวของเธอ ผมต้องการเพียงเก็บความรู้สึกประทับใจในแต่ละวันไว้ในความทรงจำ เป็นความทรงจำที่ในเวลาปกติไม่มีสถานที่เก็บกักมันไว้อย่างแน่นอน เป็นความทรงจำที่ล่องลอยในอากาศและหยิบฉวยมันจากอากาศอันเวิ้งว้างได้ในยามจำเป็น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะไม่ได้ซื้อหากระดาษหรือปากกา หากแต่ผมกลับซื้อกล่องอาหารแบบเดียวกับเธอ ผมไม่รู้ว่าภายในกล่องอาหารของเธอนั้นบรรจุสิ่งใดบ้าง แต่ภายในกล่องอาหารของผมกลับบรรจุสิ่งสำคัญทั้งปวงไว้อาทิเช่น นามบัตร โทรศัพท์มือถือ บัตรเครดิต สมุดนัดหมาย ตราประทับ หรือแม้แต่เครื่องรางที่ผมนำติดตัวมาจากประเทศไทย หากมีใครมาเยือนชานชาลาสถานีรถไฟแห่งนั้น และเขาใช้เวลาสังเกตสังกาสักเล็กน้อย เขาจะพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนสงบนิ่งเฝ้ารอรถไฟพร้อมกับกล่องอาหารและชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเหม่อลอยบนเก้าอี้ไม้พร้อมกล่องอาหารแบบเดียวกัน
เราสองคนคงกลายเป็นภาพถ่ายที่มีชีวิตแบบนั้นหากไม่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่าในที่สุดแล้วบนหนทางชีวิตที่ยาวไกล จะมีบางสิ่งผลักเราให้เข้าหาหรือถอยห่างจากใครบางคน และบางสิ่งนั้นมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราไม่ได้คาดคิดอย่างยิ่ง เช้าวันนั้นหิมะตกหนักมากทั้งที่เป็นช่วงปลายของฤดูหนาว ไม่มีใครคาดการณ์การมาถึงของหิมะในวันนั้นเลย สถานีโทรทัศน์แจ้งข่าวพยากรณ์อากาศว่าท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอบอุ่น หนังสือพิมพ์ลงประกาศข้อความว่าถึงเวลาปลดปล่อยเสื้อคลุมหนาหนักเสียที หากแต่โดยพลัน ที่สถานีแห่งนั้น ท้องฟ้ากลับมืดสนิทลงโดยไม่มีสาเหตุ และแล้วมวลหิมะก็ทยอยตกลงสู่พื้นดิน หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าของเธอขึ้นจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบนในขณะที่เกล็ดหิมะจับลงที่เสื้อคลุมของเธอ ร่างของเธอกลายเป็นดังต้นไม้เดียวดายในบริเวณนั้น ผมลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความหนาวเย็นและพยายามออกเดินไปรอบๆเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ผู้คนพากันรีบเร่งออกจากรถไฟที่มาถึงอย่างอลหม่านเพื่อหลบพายุหิมะนั้น พวกเขาหลบหลีกสิ่งหนาวเหน็บนั้นอย่างโกลาหล และในไม่ช้าฝูงชนก็กลืนร่างของเธอไป
ผมฝ่าสวนฝูงชนเข้าไปหาเธอ และในท่ามกลางคลื่นที่หลั่งไหลของมนุษย์นั้น ผมพบเธออยู่ที่พื้น กล่องอาหารประจำตัวของเธอหล่นกลิ้งไกลออกจากตัวเธอตามฝีเท้าของคนที่เคลื่อนผ่าน ในที่สุดมันก็เปิดออก ข้างในนั้นเป็นละอองสีขาว เธอชันกายลุกขึ้น จ้องมองไปที่กล่องใบนั้นและจ้องมองมาที่ผม ฝีเท้าของผมไม่อาจเคลื่อนได้ตามใจหวัง ราวกับผู้คนทั้งโลกโดยสารมาลงยังสถานีนี้ แม้ว่าในที่สุดผมจะฝ่าไปถึงกล่องอาหารใบนั้น แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ละอองสีขาวนั้นได้ฟุ้งกระจายรวมกับเป็นละอองหิมะเป็นเนื้อเดียวกัน
เกือบสิบนาทีกว่าฝูงชนจะปลาสนาการ และอีกหลายนาทีกว่าหญิงสาวผู้นั้นจะลุกขึ้นได้จากชานชาลา ผมพยุงตัวเธอเบาๆก่อนจะมอบกล่องอาหารเปล่าใบนั้นคืนให้แก่เธอ ใบหน้าของเธอซีดขาวราวหิมะ เธอรับกล่องอาหารจากมือของผมแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆเหมือนทุกครา แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้เธอจากไปเพียงลำพัง ผมออกเดินตามเธอไปเงียบๆ จนเมื่อเธอเลี้ยวเดินเข้าร้านกาแฟที่ไม่ไกลนักจากสถานี ผมก็ตัดสินใจนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ คำแรกที่ผมเอ่ยคือ “ผมขอโทษที่ไม่อาจรักษาสภาพเดิมของกล่องอาหารนั้นได้ ” คำที่สองที่ผมเอ่ยคือ “ทุกอย่างในกล่องใบนั้นหายไปพร้อมกับหิมะแล้ว” คำแรกเป็นคำที่สมควรพูดอย่างยิ่ง แต่คำที่สองนั้นเป็นคำที่ผมรู้สึกผิดอย่างแรง หญิงสาวคนนั้นยิ้มเพียงเล็กน้อยให้ผมในขณะที่พนักงานประจำร้านนำน้ำเปล่าสองแก้วมาวางลงบนโต๊ะให้เรา “ข้างในนั้นเป็นเถ้าถ่านจากคนรักของฉัน เป็นเวลาเนิ่นนานที่ฉันเฝ้ารอวันเวลาที่หิมะจะตกลงมาอย่างหนักเพื่อที่จะได้โปรยปรายมันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ฉันก็ทำไม่เคยสำเร็จเลย” หญิงสาวผู้นั้นพักลมหายใจ เธอหันไปสั่งกาแฟร้อนสองแก้วสำหรับเธอและผมโดยไม่มีคำร้องขอก่อนจะกลับมาจ้องมองกล่องอาหารใบนั้นอีกครั้ง “ฉันชื่อยูกิ ยูกิที่แปลว่าหิมะ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงคิดว่าฉันควรเอาเถ้าถ่านจกคนรักของฉันรวมตัวเข้ากับหิมะเพื่อที่ว่ามันจะเป็นเนื้อเดียวกัน ตลกไหม ฉันต้องเดินทางมาถึงที่นี่ เช่าโรงแรมและเฝ้ารอหิมะ ตอนแรกฉันคิดว่าถ้าฉันชื่อว่ากาวะที่แปลว่าแม่น้ำหรือยามะที่แปลว่าภูเขา การโปรยปรายเถ้าถ่านในกล่องนี้คงง่ายกว่าที่เป็น ก่อนจะพบว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด การโปรยปรายสิ่งที่หลงเหลือของคนรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เลย”
เธอจิบกาแฟร้อนที่ถูกนำมาวางเพียงน้อยในขณะที่ผมไม่สนใจมันเลย ผมรู้ตัวดีว่ามาที่นี่ทำไม บทสนทนาคือสิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่กาแฟ “วันแรกที่หิมะตกลงมานั้น ฉันเปิดฝากล่องอาหารขึ้น เตรียมตัวจะสบัดกล่องไปให้สุดแรง แต่แล้วฉันกลับพบว่ากล้ามเนื้อในมือของฉันไม่ทำงาน ไม่มีเรียวแรงแม้แต่น้อย ไม่มีแม้พลังงานที่จะยกมันขึ้นสูงกว่าที่เป็น ฉันยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจำนน สิ้นหวัง และยอมรับความจริง จนในที่สุดหิมะก็หยุดลง เหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวะไร้เรี่ยวแรงที่จะอำลา ฉันเรียกมันเช่นนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยสิ่งสุดท้ายของเขาให้จากไปได้ ภาพความทรงจำของเขาที่มีต่อฉันมันกดทับกล้ามเนื้อ หัวใจ สมองและห้วงคำนึงของฉัน แม้ฉันจะรู้ดีว่าเขาจะต้องจากไป แม้ฉันจะรู้ดีว่าเขาได้จากไปแล้ว แต่ถึงที่สุดฉันกลับไม่อาจปล่อยสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายไปจากตัวฉันได้” เธอหันมาจ้องมองกล่องเปล่านั้นอีกครั้ง “ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ มันได้ปลดปล่อยฉันแล้ว”
ผมยื่นถ้วยกาแฟของผมให้เธอ แลดูชัดเจนว่ากาแฟหนึ่งแก้วไม่เพียงพอสำหรับเธอเป็นแน่ “ผมถามคำถามคุณข้อหนึ่งได้ไหม?” เธอพยักหน้าตอบ “คุณรู้สึกถูกปลดปล่อยแล้วจริงหรือ ความรู้สึกข้างในใจของคุณถูกปลดปล่อยแล้วแน่หรือ จริงอยู่ที่เถ้าถ่านคนรักของคุณได้จากไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่จากความตั้งใจของคุณ การยักไหล่แล้วบอกว่าทุกสิ่งจบลงอาจบรรเทาความรู้สึกบางอย่างได้ แต่คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าความรู้สึกที่ว่านั้นจะไม่หวนกลับมา ขอโทษที่ผมพูดยาวเกินไป แต่ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ” เธอจ้องมองผมอยู่นาน ช่วงเวลาขณะนั้นผมรู้สึกเหมือนดังว่ามีขบวนรถไฟผ่านเราไปหลายขบวน “มันสายไปแล้ว” เธอตอบเบาๆ “ไม่มีเถ้าถ่าน ไม่มีพายุหิมะอีกแล้ว” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ขณะนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา ถ้าเรากลับไปที่สถานี รถไฟเที่ยวต่อไปที่จะไปโมริโอกะจะมาถึงในไม่ช้า พายุหิมะจะมาถึงโมริโอกะในเย็นนี้ มีเศษเถ้าถ่านของคนรักคุณหลงเหลืออยู่ตามขอบกล่อง มันไม่อาจโปรยปรายได้เป็นแน่ แต่คุณสามารถรองเกล็ดหิมะจากฟากฟ้าได้จนเต็มแล้วโปรยปรายมันร่วมกันได้” ผมลุกขึ้น วางธนบัตรไว้บนโต๊ะแล้วยื่นมือให้เธอจับ นี่คือการตัดสินใจของผม ถ้าผมจะเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับการทักทายและการพบกันที่สถานีรถไฟ มันควรเป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่บทสนทนาและลาจากกันแต่ควรเป็นบางสิ่งมากว่านี้หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นยืน เธอจับมือผมไว้เบาๆ ผมปัดเศษหิมะบนเสื้อของเธอ ก่อนที่เราทั้งคู่จะออกเดินมุ่งหน้าไปยังชานชา ข้างนอกนั้นพายุหิมะหยุดลงแล้ว หลงเหลือเพียงเศษหิมะที่กำลังละลายบนพื้น เราทั้งสองคนย่ำผ่านมันไป และทิ้งรอยเท้าไว้กับคราบหิมะซึ่งในไม่ช้าคงละลายจนไร้ร่องรอย
แต่ผมพบเธอที่นั่น ในขณะที่ผมเฝ้ารอรถไฟที่มุ่งหน้าสู่เกียวโต เธอยืนสงบนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ภายใต้เสื้อคลุมสีดำหนาหนักเกล็ดสีขาวของหิมะแต่งแต้มเสื้อคลุมของเธอเป็นจุดเล็กๆราวกับงานออกแบบชิ้นเลิศ นอกจากบนเสื้อแล้ว เกล็ดหิมะยังจับอยู่ตามไรผมของเธอด้วย แต่ดูเธอไม่แยแสสิ่งนั้นเลย เธอยังคงยืนสงบนิ่ง รถไฟแล่นเข้าเทียบชานชาลาขบวนแล้วขบวนเล่าผู้คนเดินออกจากขบวนรถไฟคนแล้วคนเล่า หากแต่เธอไม่สนใจไยดีสิ่งเหล่านั้นเลย มือขวาของเธอถือกล่องอาหารกลางวันสายตาของเธอจ้องมองไปเบื้องหน้า เมื่อได้พบเห็นเธอ ผมตัดสินใจยกเลิกการโดยสารขบวนรถไฟที่ตั้งใจและเฝ้ามองดูเธอแทน รถไฟขบวนใดหนอที่เธอจะโดยสาร สถานที่ใดหนอที่เธอปรารถนาจะไป นั่นคือความคิดคำนึงของผม นั่นคือการเฝ้ารอคำตอบของผม หากแต่เธอกลับไม่โดยสารรถไฟขบวนใดเลย เธอยืนนิ่งอยู่ที่ชานชาลาราวหนึ่งชั่วโมง ประมาณนั้น ก่อนจะหันหลังกลับ เดินลงบันไดชานชาลาและหายลับจากไปท่ามกลางพายุหิมะสีขาวโพลน
หลังจากวันนั้น ผมได้พบเธอทุกวัน แม้พายุหิมะจะหมดหน้าที่ของมันแล้วคงเหลือเพียงแต่สายหิมะเบาบางในยามนี้ แต่เธอผู้นั้นยังคงมาที่ชานชาลาแห่งนี้ทุกวัน ในมือถือกล่องอาหารกลางวัน สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้า จุดหมายของเธอดูเลื่อนลอยไม่มีรถไฟขบวนใดที่ดึงดูดเธอไปสู่โลกของการโดยสาร หนึ่งชั่วโมง ประมาณนั้น ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ชานชาลาก่อนจะเดินลงบันไดแล้วหายลับไปจากสายตาของผม
หลังการจากไปของเธอ ผมจะโดยสารรถไฟเที่ยวถัดมาทันที ในความคิดคำนึงของผมมีแต่ความสงสัยใคร่รู้ มีสิ่งใดในกล่องอาหารกลางวันนั้น มันใช่อาหารหรือมันเป็นสิ่งอื่น มีอะไรในเป้าหมายสายตาของเธอ ภาพที่ทุกคนมองเห็นหรือว่าเป็นภาพอื่นจากที่นั่งในรถไฟนั่นเองที่ผมจะขบคิดถึงปริศนาเหล่านั้น ด้วยว่าตลอดเวลาที่เธอยืนนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ผมไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นใดได้เลยนอกจากความงามของเธอ หากเราจะคิดถึงผู้หญิงสักคนที่ให้ความงามอันอบอุ่น ไม่เสแสร้ง ไม่ดัดแปลง คงเป็นเธอนั่นเอง ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ เธอเป็นดังดวงอาทิตย์ที่เรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมัน เป็นความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่มีจุดเด่นที่ความงาม เป็นความอบอุ่นที่หลงเหลือเพียงหนึ่งเดียวในเมืองอันหนาวเหน็บแห่งนี้ การมาถึงชานชาลาของเธอให้ความรู้สึกดังการขึ้นสู่ท้องฟ้าของดวงอาทิตย์ การจากไปของเธอให้ความรู้สึกดังการจบสิ้นของวัน เป็นเรื่องปกติสามัญเช่นนั้น เพียงแต่วันเวลาในสถานที่แห่งนั้น ในชานชาลาแห่งนั้นมีระยะเวลาดำเนินไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เป็นวันเวลาที่แสนสั้น เป็นวันเวลาที่แสนสั้นแต่สำหรับผมแล้วสวยงามสุดบรรยาย
หิมะนั้นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด เมื่อแรกที่มันตกลงมานั้น เราจะรู้สึกได้ถึงความสวยงาม แต่หลังจากนั้นเราจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของมัน ความเย็นเฉียบของมันที่มีต่อผิวหนังของเราจะทำให้เรารู้สึกปวดร้าว ความหนาวเหน็บของมันที่มีต่อจมูกจะทำให้เราเจ็บปวด เราอยากยืนอย่างสงบนิ่งๆ ทำตัวสดชื่นสูดดมกลิ่นของหิมะ แต่เราทำเช่นนั้นไม่ได้ จมูกของเราเจ็บแสบเกินกว่าจะได้กลิ่น ผิวหนังของเราเย็นชาเกินกว่าจะเพลิดเพลิน สิ่งที่ปรากฏจากช่องจมูกของเราไม่ใช่อากาศอีกต่อไปหากแต่เป็นเลือดสีแดงสด สิ่งที่ปรากฏจากผิวหนังของเราไม่ใช่เกล็ดหิมะอีกต่อไปหากแต่เป็นรอยช้ำแดง
และหากหิมะเป็นของแปลก เมืองหิมะย่อมเป็นของแปลกประหลาดกว่านั้น ผมถูกส่งมาที่เมืองหิมะแห่งนี้เมื่อหนึ่งปีก่อน ในวันแรกของการประกาศรับสมัครพนักงานเพื่อไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะมีเมืองหิมะเช่นนี้ ประเทศญี่ปุ่นสำหรับผมคือประเทศที่มากมายด้วยยอดมนุษย์และสัตว์ประหลาดจากความทรงจำในวัยเด็ก เป็นประเทศที่มากมายด้วยดาราเอวีจากความประทับใจในวัยหนุ่ม แต่ไม่ใช่หิมะเป็นแน่ ผมไม่เคยมีความคิดเรื่องเมืองหิมะอยู่เลยในวันที่ส่งชื่อตัวเองเข้าสอบวันนั้น
การสอบผ่านไปด้วยความสำเร็จ เมืองที่ผมต้องเดินทางไปถึงคือเซนได ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย ทำไมไม่เป็นโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า ทำไมไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสาวน้อยหน้าแฉล้มแช่มช้อย ทำไมไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม ทำไม่ไม่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยปราสาทโบราณโอ่โถง หากแต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นและสีขาวโพลนของหิมะ เซนไดต้อนรับผมนับแต่แรกถึง เมื่อผมเดินออกจากสนามบิน เกล็ดหิมะลอยคลุ้งในอากาศราวปุยนุ่น ผมยืนรอรถแท๊กซี่ที่ขาดช่วงอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ใบหูของผมเริ่มเย็นลงทีละน้อยจนชา และหากมันจะถูกใครปลิดทิ้งไปในตอนนั้นผมคงไม่รู้สึกรู้สมใดๆ จมูกของผมแสบและหายใจขัดข้อง การไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมทำให้ผมอยู่ในเสื้อเชิ๊ตและสูทเบาบางเพียงตัวเดียว ความหนาวเย็นเกาะกินไปถึงกระดูกในความรู้สึก ผมพยายามปัดเกล็ดหิมะที่เกาะใบหน้าในช่วงแรกอย่างพัลวันก่อนจะยอมแพ้และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างยอมจำนน ในที่สุด รถแท๊กซี่ก็มาถึง ผมยัดตัวเองลงไปบนเบาะหลัง ยื่นนามบัตรที่กำไว้ในมืออันสั่นเทาให้ชายคนขับผู้อยู่ในถุงมือสีขาวสะอาดตา เขาเหลือบตามองมันเพียงแว่บเดียวก่อนจะพยักหน้าแล้วออกรถโดยไม่มีคำพูดใดๆ
ในเมืองหิมะเช่นนั้นช่างเต็มไปด้วยความเงียบเหงา ในช่วงเช้าที่ยังพอมีแสงแดด ผมจะเดินทางไปทำงาน ก่อนจะกลับสู่ที่พักเมื่อความหนาวเย็นเข้าครอบคลุมในยามค่ำ หลังจากนั้นผมจะนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างเฝ้ามองหิมะหล่นลงมาโปรยปราย ไม่มีความตื่นเต้นใดๆ ไม่มีความเพลิดเพลินใดๆ มันเป็นเมืองเงียบสีขาวโพลน สงบเย็น ไร้สีสันอื่น ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น จนถึงวันที่ผมได้พบกับเธอเมื่อต้องเดินทางไปทำธุระที่โตเกียว การปรากฏตัวของหญิงสาวพร้อมกล่องข้าวในมือเป็นดังแสงแดดอันอบอุ่น อ่อนหวาน ละมุน ละไมและทำให้ผมรู้สึกว่าความหนาวเย็นที่ดำรงมาเนิ่นนานนั้นได้ปราศนาการไป
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไปถึงสถานีแห่งนั้นทุกเช้าแทนการมุ่งตรงไปยังสำนักงาน แม้ในวันที่ผมไม่ต้องเดินทาง ผมก็จะไปยังสถานีนั้น ผมจะยืนรออยู่ที่ชานชาลา รอการปรากฏตัวของหญิงสาว รอการร่วงหล่นของหิมะ รอการประทับของหิมะบนเสื้อผ้าของเธอ ความหนาวเย็นไม่ใช่สิ่งที่ผมหวาดกลัวอีกต่อไป การไม่ปรากฏตัวของเธอต่างหากที่เป็นสิ่งที่ผมหวาดหวั่น ห้านาที สิบนาที สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือบ่อยแสนบ่อย ลมหายใจของผมหยุดชะงักเป็นช่วง จนเมื่อเธอปรากฏตัวแล้วนั้นเองที่อากัปอาการของผมจะกลับสู่ความเป็นปกติ หญิงสาวในเสื้อคลุมหนาหนัก หญิงสาวผู้มาพร้อมกล่องอาหาร หญิงสาวที่มาพร้อมความสงบเงียบ หญิงสาวที่ผมรอคอย
ถึงแม้ผมจะมีกำหนดเวลาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเพียงหนึ่งปี แต่การละเลยไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นผลผลิตของสังคมญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น ศิลปกรรม วรรณกรรม หรือสิ่งต่างๆดูจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจ ผมเริ่มต้นตระเวณไปตามที่แสดงงานศิลปะในเมืองทีละแห่ง เริ่มต้นซื้อหนังสืออันลือชื่อของนักเขียนญี่ปุ่นทีละคน ผมเริ่มเรียนรู้การชื่นชมภาพพิมพ์ของโฮกุไซ ตื่นตะลึงกับงานแกะไม้ของยานากิ หลงใหลงานเขียนของ คาวาบาตะ โดยเฉพาะเรื่องเมืองหิมะที่เขาเขียนได้จับใจ ตื่นเต้นกับจินตนาการทางเพศของ ทานิซากิ โดยเฉพาะในเรื่องกุญแจ ประทับใจกับความรักชาติของ มิชิม่า โดยเฉพาะในเรื่องวิหารทอง ทุกอาทิตย์ผมไปที่ห้องแสดงภาพและร้านหนังสือใหญ่ประจำเมือง ซื้อภาพพิมพ์และหนังสือของนักเขียนเหล่านั้นมาทีละแผ่น ทีละเล่ม ห้องของผมเริ่มจัดสรรพื้นที่ให้กับสิ่งของด้านอารยธรรม มันทำให้ทุกอย่างอบอุ่นขึ้น อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม
ในสิ่งของจำนวนมากเหล่านั้นมีสองสิ่งที่ผมให้ค่าของมันเหนือสิ่งใดอื่น สิ่งแรกคือภาพพิมพ์ที่มีชื่อว่าการเดินในหิมะ หรือ A Walk in the Snowของคาวาเสะ ฮาสุอิ มันเป็นภาพที่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่เรื่องราวในภาพดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง ในภาพเราจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แบกลูกน้อยไว้ด้านหลัง เดินฝ่าหิมะที่โปรยปรายด้วยร่มที่ทำจากไม้อันเบาบาง มีสุนัขเดินตามหลังอย่างเงียบๆ ผมมองรูปภาพนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเพลิดเพลิน เป็นความเพลิดเพลินจากจินตนาการว่าหญิงสาวในรูปนั้นกำลังเดินทางไปไหน กลับหรือไปจากเคหาของเธอ เด็กทารกด้านหลังอายุกี่ขวบกัน เธอรู้สึกหนาวเย็นหรืออบอุ่น สุนัขติดตามเธอมาหรือเพียงแต่มาพบเธอโดยบังเอิญและเพราะเหตุใดมันจึงติดตามเธอไปโดยไม่หวั่นไหวต่อความหนาวเย็นใดๆ เรื่องราวปลายเปิดจากภาพพิมพ์ภาพนี้หล่อเลี้ยง ดูดซับและปะทุออกซึ่งจินตนาการของผมครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับตาน้ำที่ผุดตัวขึ้นโผล่พ้นผืนดินอย่างชั่วกัลปาวสาน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญกับมันครั้งแล้วครั้งเล่าคือเรื่องสั้นชื่อ-การทักทาย-หรือ The Greeting ของ อาคุตะงาว่า ริวโนสุเกะ ผู้คนจำนวนมากรู้จักอาคุตะงาว่าจากเรื่องสั้นอันโด่งดังของเขานาม-ขัปปะ หรือไม่ก็เรื่องสั้นชื่อ-ในป่าโกงกาง-ที่กลายเป็นภาพยนตร์นามราโชมอน ทั้งที่อาคุตะงาว่าเขียนเรื่องสั้นจำนวนมากมายหลายเรื่องด้วยกัน แต่เรื่องสั้นเหล่านั้นล้วนถูกบดบังด้วยขับปะ ทั้งที่อาคุตะงาว่าเขียนเรื่องสั้นที่มีการพรรณาความอันงดงามมากมายแต่เรื่องสั้นเหล่านั้นล้วนถูกบดบังด้วยความยอกย้อนของในป่าโกงกาง ในแง่หนึ่งมันเป็นสิ่งดี แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง มันเหมือนดังการที่เราเลือกจดจำดวงจันทร์ในยามค่ำว่างดงามเพียงใดแต่หลงลืมดวงดารามากมายบนผืนฟ้านั่น
เรื่องสั้นเรื่องการทักทายนั้นเริ่มต้นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่พบหญิงสาวที่เขาพึงใจ ณ ชานชาลารถไฟแห่งหนึ่ง เขาพบเธอทุกวัน หลงใหลเธอทุกวัน ขบคิดถึงการทักทายเธอทุกวัน หากแต่เขากลับไม่ลงมือกระทำสิ่งใดเลย เขาหมกมุ่นกับความปรารถนาที่จะทักทายเธอมากกว่าตัวตนที่แท้ของหญิงสาวผู้นั้น เขาหมกมุ่นกับถ้อยคำที่อยากเอ่ยให้เธอฟังมากกว่าการปล่อยถ้อยคำนั้นออกไป กาลเวลาผ่านไปท่ามกลางความน่าอึดอัดมหาศาลในเรื่องสั้นเรื่องนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยการตัดสินใจว่าถึงเวลาแห่งการทักทายของเขาแล้ว หากแต่ในช่วงเวลานั้นเอง หญิงสาวคนดังกล่าวกลับเดินผ่านเขาไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เขาทักทายเธอท่ามกลางความว่างเปล่าและท่ามกลางเสียงรถไฟที่กำลังเคลื่อนออกจากชานชาลา
ผมเข้าใจเหตุผลที่ผมหลงใหลภาพวาดชื่อการเดินในหิมะของคาวาเสะ ฮาสุอิ ความหนาวเหน็บ อ้างว้างในภาพนั้นคงดึงดูดผมเป็นของแน่ แต่อะไรเล่าที่ดึงดูดใจผมในเรื่องสั้นชื่อการทักทายนี้ ความลังเลของตัวละครเอกหรือ หรือนี่ผมกำลังลังเลที่จะทักทายหญิงสาวผู้นั้นหรือนี่ผมกำลังหลงใหลในตัวเธอแทน เป็นเกล็ดหิมะบนเสื้อผ้าและไรผม เป็นกล่องอาหารในมือ หรือเป็นความสงบเงียบไม่สนใจโลกของเธอ ดูเหมือนจะมีคำตอบนับร้อยนับพันนับหมื่นเมื่อผมพยายามผูกสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน มนุษย์เราอาจพกร่ม หนังสือ หรือเครื่องเสียงส่วนตัวมายืนสงบนิ่งเพื่อรอรถไฟ แต่กล่องอาหารนั้นเล่า หากเธอไม่โดยสารรถไฟ เธอมีความจำเป็นอันใดที่ต้องนำอาหารส่วนตัวมาด้วย มีอาหารจำหน่ายในรถไฟสายยาวแม้ว่ามันจะไม่เลิศเลอนักแต่ก็ไม่เลวร้ายเลย การจากไปของเธอในทุกครั้งพร้อมกับกล่องอาหารคือปริศนาในใจของผมใช่ไหม มันคือสิ่งที่ผมคั่งค้างในใจหรือ
ผมเริ่มขบคิดว่าหากผมต้องเป็นผู้เขียนเรื่องสั้นเรื่องการทักทายแทนอาคุตะงาว่า ผมจะเริ่มต้นมันเช่นไร ผมคงเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงวันที่หิมะตกหนัก สายหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า หญิงสาวผู้หนึ่งเฝ้ารอขบวนรถไฟอยู่ที่ชานชาลา แต่เมื่อขบวนรถไฟมาถึง ขบวนแล้วขบวนเล่า ขบวนแล้วขบวนเล่า เธอกลับไม่โดยสารรถไฟขบวนใดเลย ที่ชานชาลานั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเฝ้ามองเธอด้วยอาการสงบนิ่ง หากแต่เขากลับไม่กระทำสิ่งใดเลย ไม่มีบทสนทนา ไม่มีการทักทาย มีแต่เพียงความเงียบและการเฝ้ามอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เรื่องสั้นเรื่องนี้ควรมีชื่อว่าความหลงใหลหรือความประทับใจมากกว่าการทักทาย แค่เพียงการปรากฏตัวของเธอก็เป็นที่สุดแห่งความพึงใจของเขา แค่เพียงดำรงอยู่ตรงนั้นก็เป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของเขา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสั้นที่ไม่ควรมีบทสนทนา ดังนั้นมันจึงควรเป็นเรื่องสั้นที่มีเพียงแต่การบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขา เป็นเรื่องสั้นที่บรรยายถึงสิ่งที่ท่วมท้นและเพียงพอของห้วงคำนึง
ผมคิดถึงวิธีการเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้บ่อยครั้งเสมอขณะที่เฝ้ารอหญิงสาวผู้นั้นอยู่ที่ชานชาลา อันที่จริงแล้วผมควรซื้อปากกาสักแท่ง สมุดเล่มเล็กสักเล่มและใช้เวลาที่เฝ้ารอนั้นเขียนเรื่องสั้นที่ว่า หากแต่ผมก็กลับไม่ทำเช่นนั้น ผมไม่ปรารถนาลายลักษณ์อักษรที่พรรณาถึงเรื่องราวของเธอ ผมต้องการเพียงเก็บความรู้สึกประทับใจในแต่ละวันไว้ในความทรงจำ เป็นความทรงจำที่ในเวลาปกติไม่มีสถานที่เก็บกักมันไว้อย่างแน่นอน เป็นความทรงจำที่ล่องลอยในอากาศและหยิบฉวยมันจากอากาศอันเวิ้งว้างได้ในยามจำเป็น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะไม่ได้ซื้อหากระดาษหรือปากกา หากแต่ผมกลับซื้อกล่องอาหารแบบเดียวกับเธอ ผมไม่รู้ว่าภายในกล่องอาหารของเธอนั้นบรรจุสิ่งใดบ้าง แต่ภายในกล่องอาหารของผมกลับบรรจุสิ่งสำคัญทั้งปวงไว้อาทิเช่น นามบัตร โทรศัพท์มือถือ บัตรเครดิต สมุดนัดหมาย ตราประทับ หรือแม้แต่เครื่องรางที่ผมนำติดตัวมาจากประเทศไทย หากมีใครมาเยือนชานชาลาสถานีรถไฟแห่งนั้น และเขาใช้เวลาสังเกตสังกาสักเล็กน้อย เขาจะพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนสงบนิ่งเฝ้ารอรถไฟพร้อมกับกล่องอาหารและชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเหม่อลอยบนเก้าอี้ไม้พร้อมกล่องอาหารแบบเดียวกัน
เราสองคนคงกลายเป็นภาพถ่ายที่มีชีวิตแบบนั้นหากไม่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่าในที่สุดแล้วบนหนทางชีวิตที่ยาวไกล จะมีบางสิ่งผลักเราให้เข้าหาหรือถอยห่างจากใครบางคน และบางสิ่งนั้นมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราไม่ได้คาดคิดอย่างยิ่ง เช้าวันนั้นหิมะตกหนักมากทั้งที่เป็นช่วงปลายของฤดูหนาว ไม่มีใครคาดการณ์การมาถึงของหิมะในวันนั้นเลย สถานีโทรทัศน์แจ้งข่าวพยากรณ์อากาศว่าท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอบอุ่น หนังสือพิมพ์ลงประกาศข้อความว่าถึงเวลาปลดปล่อยเสื้อคลุมหนาหนักเสียที หากแต่โดยพลัน ที่สถานีแห่งนั้น ท้องฟ้ากลับมืดสนิทลงโดยไม่มีสาเหตุ และแล้วมวลหิมะก็ทยอยตกลงสู่พื้นดิน หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าของเธอขึ้นจ้องมองท้องฟ้าเบื้องบนในขณะที่เกล็ดหิมะจับลงที่เสื้อคลุมของเธอ ร่างของเธอกลายเป็นดังต้นไม้เดียวดายในบริเวณนั้น ผมลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความหนาวเย็นและพยายามออกเดินไปรอบๆเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ผู้คนพากันรีบเร่งออกจากรถไฟที่มาถึงอย่างอลหม่านเพื่อหลบพายุหิมะนั้น พวกเขาหลบหลีกสิ่งหนาวเหน็บนั้นอย่างโกลาหล และในไม่ช้าฝูงชนก็กลืนร่างของเธอไป
ผมฝ่าสวนฝูงชนเข้าไปหาเธอ และในท่ามกลางคลื่นที่หลั่งไหลของมนุษย์นั้น ผมพบเธออยู่ที่พื้น กล่องอาหารประจำตัวของเธอหล่นกลิ้งไกลออกจากตัวเธอตามฝีเท้าของคนที่เคลื่อนผ่าน ในที่สุดมันก็เปิดออก ข้างในนั้นเป็นละอองสีขาว เธอชันกายลุกขึ้น จ้องมองไปที่กล่องใบนั้นและจ้องมองมาที่ผม ฝีเท้าของผมไม่อาจเคลื่อนได้ตามใจหวัง ราวกับผู้คนทั้งโลกโดยสารมาลงยังสถานีนี้ แม้ว่าในที่สุดผมจะฝ่าไปถึงกล่องอาหารใบนั้น แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ละอองสีขาวนั้นได้ฟุ้งกระจายรวมกับเป็นละอองหิมะเป็นเนื้อเดียวกัน
เกือบสิบนาทีกว่าฝูงชนจะปลาสนาการ และอีกหลายนาทีกว่าหญิงสาวผู้นั้นจะลุกขึ้นได้จากชานชาลา ผมพยุงตัวเธอเบาๆก่อนจะมอบกล่องอาหารเปล่าใบนั้นคืนให้แก่เธอ ใบหน้าของเธอซีดขาวราวหิมะ เธอรับกล่องอาหารจากมือของผมแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆเหมือนทุกครา แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้เธอจากไปเพียงลำพัง ผมออกเดินตามเธอไปเงียบๆ จนเมื่อเธอเลี้ยวเดินเข้าร้านกาแฟที่ไม่ไกลนักจากสถานี ผมก็ตัดสินใจนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ คำแรกที่ผมเอ่ยคือ “ผมขอโทษที่ไม่อาจรักษาสภาพเดิมของกล่องอาหารนั้นได้ ” คำที่สองที่ผมเอ่ยคือ “ทุกอย่างในกล่องใบนั้นหายไปพร้อมกับหิมะแล้ว” คำแรกเป็นคำที่สมควรพูดอย่างยิ่ง แต่คำที่สองนั้นเป็นคำที่ผมรู้สึกผิดอย่างแรง หญิงสาวคนนั้นยิ้มเพียงเล็กน้อยให้ผมในขณะที่พนักงานประจำร้านนำน้ำเปล่าสองแก้วมาวางลงบนโต๊ะให้เรา “ข้างในนั้นเป็นเถ้าถ่านจากคนรักของฉัน เป็นเวลาเนิ่นนานที่ฉันเฝ้ารอวันเวลาที่หิมะจะตกลงมาอย่างหนักเพื่อที่จะได้โปรยปรายมันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ฉันก็ทำไม่เคยสำเร็จเลย” หญิงสาวผู้นั้นพักลมหายใจ เธอหันไปสั่งกาแฟร้อนสองแก้วสำหรับเธอและผมโดยไม่มีคำร้องขอก่อนจะกลับมาจ้องมองกล่องอาหารใบนั้นอีกครั้ง “ฉันชื่อยูกิ ยูกิที่แปลว่าหิมะ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงคิดว่าฉันควรเอาเถ้าถ่านจกคนรักของฉันรวมตัวเข้ากับหิมะเพื่อที่ว่ามันจะเป็นเนื้อเดียวกัน ตลกไหม ฉันต้องเดินทางมาถึงที่นี่ เช่าโรงแรมและเฝ้ารอหิมะ ตอนแรกฉันคิดว่าถ้าฉันชื่อว่ากาวะที่แปลว่าแม่น้ำหรือยามะที่แปลว่าภูเขา การโปรยปรายเถ้าถ่านในกล่องนี้คงง่ายกว่าที่เป็น ก่อนจะพบว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นที่แห่งใด การโปรยปรายสิ่งที่หลงเหลือของคนรักนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เลย”
เธอจิบกาแฟร้อนที่ถูกนำมาวางเพียงน้อยในขณะที่ผมไม่สนใจมันเลย ผมรู้ตัวดีว่ามาที่นี่ทำไม บทสนทนาคือสิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่กาแฟ “วันแรกที่หิมะตกลงมานั้น ฉันเปิดฝากล่องอาหารขึ้น เตรียมตัวจะสบัดกล่องไปให้สุดแรง แต่แล้วฉันกลับพบว่ากล้ามเนื้อในมือของฉันไม่ทำงาน ไม่มีเรียวแรงแม้แต่น้อย ไม่มีแม้พลังงานที่จะยกมันขึ้นสูงกว่าที่เป็น ฉันยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจำนน สิ้นหวัง และยอมรับความจริง จนในที่สุดหิมะก็หยุดลง เหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวะไร้เรี่ยวแรงที่จะอำลา ฉันเรียกมันเช่นนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยสิ่งสุดท้ายของเขาให้จากไปได้ ภาพความทรงจำของเขาที่มีต่อฉันมันกดทับกล้ามเนื้อ หัวใจ สมองและห้วงคำนึงของฉัน แม้ฉันจะรู้ดีว่าเขาจะต้องจากไป แม้ฉันจะรู้ดีว่าเขาได้จากไปแล้ว แต่ถึงที่สุดฉันกลับไม่อาจปล่อยสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายไปจากตัวฉันได้” เธอหันมาจ้องมองกล่องเปล่านั้นอีกครั้ง “ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ มันได้ปลดปล่อยฉันแล้ว”
ผมยื่นถ้วยกาแฟของผมให้เธอ แลดูชัดเจนว่ากาแฟหนึ่งแก้วไม่เพียงพอสำหรับเธอเป็นแน่ “ผมถามคำถามคุณข้อหนึ่งได้ไหม?” เธอพยักหน้าตอบ “คุณรู้สึกถูกปลดปล่อยแล้วจริงหรือ ความรู้สึกข้างในใจของคุณถูกปลดปล่อยแล้วแน่หรือ จริงอยู่ที่เถ้าถ่านคนรักของคุณได้จากไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่จากความตั้งใจของคุณ การยักไหล่แล้วบอกว่าทุกสิ่งจบลงอาจบรรเทาความรู้สึกบางอย่างได้ แต่คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าความรู้สึกที่ว่านั้นจะไม่หวนกลับมา ขอโทษที่ผมพูดยาวเกินไป แต่ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ” เธอจ้องมองผมอยู่นาน ช่วงเวลาขณะนั้นผมรู้สึกเหมือนดังว่ามีขบวนรถไฟผ่านเราไปหลายขบวน “มันสายไปแล้ว” เธอตอบเบาๆ “ไม่มีเถ้าถ่าน ไม่มีพายุหิมะอีกแล้ว” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ขณะนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา ถ้าเรากลับไปที่สถานี รถไฟเที่ยวต่อไปที่จะไปโมริโอกะจะมาถึงในไม่ช้า พายุหิมะจะมาถึงโมริโอกะในเย็นนี้ มีเศษเถ้าถ่านของคนรักคุณหลงเหลืออยู่ตามขอบกล่อง มันไม่อาจโปรยปรายได้เป็นแน่ แต่คุณสามารถรองเกล็ดหิมะจากฟากฟ้าได้จนเต็มแล้วโปรยปรายมันร่วมกันได้” ผมลุกขึ้น วางธนบัตรไว้บนโต๊ะแล้วยื่นมือให้เธอจับ นี่คือการตัดสินใจของผม ถ้าผมจะเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับการทักทายและการพบกันที่สถานีรถไฟ มันควรเป็นเช่นนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่บทสนทนาและลาจากกันแต่ควรเป็นบางสิ่งมากว่านี้หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นยืน เธอจับมือผมไว้เบาๆ ผมปัดเศษหิมะบนเสื้อของเธอ ก่อนที่เราทั้งคู่จะออกเดินมุ่งหน้าไปยังชานชา ข้างนอกนั้นพายุหิมะหยุดลงแล้ว หลงเหลือเพียงเศษหิมะที่กำลังละลายบนพื้น เราทั้งสองคนย่ำผ่านมันไป และทิ้งรอยเท้าไว้กับคราบหิมะซึ่งในไม่ช้าคงละลายจนไร้ร่องรอย